Petri Dish คืออะไร? การใช้งานและเลือกซื้อสำหรับงานเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์
การใช้งานและประเภทของ Petri Dish ในห้องปฏิบัติการ
ในโลกของวิทยาศาสตร์และชีววิทยา หนึ่งในอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายคือ Petri Dish (เพทรีดิช) หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ "จานเพาะเชื้อ" อุปกรณ์หน้าตาเรียบง่ายนี้เป็นหัวใจสำคัญในห้องปฏิบัติการไมโครไบโอโลจี เพราะมันคือบ้านของจุลินทรีย์ที่เรานำมาศึกษา ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย, เชื้อรา, หรือยีสต์ โดยชื่อของมันได้มาจากนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน Julius Richard Petri ซึ่งเป็นผู้คิดค้นขึ้นในปี ค.ศ. 1887
Petri Dish ทำหน้าที่เป็นภาชนะสำหรับบรรจุสารอาหารที่เรียกว่า "อาหารเลี้ยงเชื้อ" (Culture Media) เพื่อให้จุลินทรีย์ที่เราต้องการเพาะเลี้ยงเจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสม โดยทั่วไปแล้วจะมีลักษณะเป็นจานแก้วหรือพลาสติกทรงกลม ก้นแบน และมีฝาปิดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยเพื่อให้สามารถครอบลงไปได้พอดี การออกแบบเช่นนี้ไม่ได้มีขึ้นเพื่อความสวยงาม แต่เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากภายนอก ในขณะที่ยังคงอนุญาตให้มีการแลกเปลี่ยนอากาศที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์บางชนิด
ทำไม Petri Dish จึงสำคัญต่องานเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์?
ความสำคัญของ Petri Dish ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นภาชนะบรรจุเท่านั้น แต่มันเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถ:
- เพาะเลี้ยงและขยายจำนวนจุลินทรีย์: เพื่อให้ได้ปริมาณที่เพียงพอต่อการศึกษา เช่น การทดสอบความไวของแบคทีเรียต่อยาปฏิชีวนะ (Antibiotic Susceptibility Testing) หรือการนับจำนวนโคโลนี (Colony Counting) เพื่อหาปริมาณจุลินทรีย์ในตัวอย่าง
- แยกเชื้อบริสุทธิ์ (Pure Culture): Petri Dish เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้เราสามารถแยกจุลินทรีย์แต่ละชนิดออกจากกันได้ โดยอาศัยเทคนิคการ Streak Plate หรือ Pour Plate เพื่อให้แต่ละเซลล์สามารถเจริญเติบโตเป็นโคโลนีเดี่ยวๆ บนอาหารเลี้ยงเชื้อได้ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการศึกษาสมบัติของจุลินทรีย์แต่ละชนิดโดยไม่ให้มีการปนเปื้อน
- สังเกตการณ์การเจริญเติบโต: ด้วยลักษณะที่โปร่งใส ทำให้เราสามารถสังเกตการเจริญเติบโต, รูปร่าง, สี, และลักษณะอื่นๆ ของโคโลนีจุลินทรีย์ได้ด้วยตาเปล่าหรือภายใต้กล้องจุลทรรศน์
- จัดเก็บตัวอย่าง: ใช้เป็นภาชนะสำหรับจัดเก็บตัวอย่างจุลินทรีย์ระยะสั้นเพื่อการทดลองต่อเนื่อง
ประเภทของ Petri Dish วัสดุและการใช้งานที่แตกต่าง
Petri Dish มีหลากหลายประเภทให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของงานในห้องปฏิบัติการ โดยหลักๆ แล้วจะแบ่งตามวัสดุที่ใช้ผลิต ได้แก่:
- Petri Dish แก้ว (Glass Petri Dish)
- คุณสมบัติ: ทำจากแก้ว Borosilicate ที่ทนทานต่อความร้อนสูง
- ข้อดี: สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้หลายครั้งหลังจากผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูง (Autoclave) เหมาะสำหรับงานในห้องปฏิบัติการที่เน้นการลดต้นทุนในระยะยาวและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ข้อเสีย: มีราคาเริ่มต้นสูงกว่า, แตกง่าย, และต้องใช้เวลาในการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ
- Petri Dish พลาสติก (Plastic Petri Dish)
- คุณสมบัติ: ทำจากพลาสติก Polystyrene (PS) ซึ่งมีลักษณะใสและน้ำหนักเบา
- ข้อดี: เป็นแบบใช้แล้วทิ้ง (Disposable) ทำให้สะดวก รวดเร็ว และลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนข้าม (Cross-contamination) นิยมใช้ในงานวิจัยหรือการทดลองที่ต้องการความแม่นยำสูงและมีปริมาณงานจำนวนมาก
- ข้อเสีย: ไม่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ทำให้มีต้นทุนสูงกว่าในระยะยาวและสร้างขยะพลาสติก
นอกจากนี้ ยังมีการจำแนกตามลักษณะเฉพาะอื่นๆ เช่น Petri Dish ที่มี Vent (ช่องระบายอากาศ) สำหรับการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ที่ต้องการอากาศ (Aerobic Bacteria) และ Non-vent สำหรับจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศ (Anaerobic Bacteria) ซึ่งเป็นรายละเอียดสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อเลือกซื้อ
เทคนิคการใช้งาน Petri Dish ในงานเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ที่ถูกต้อง
การใช้งาน Petri Dish ให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและปลอดภัย ต้องคำนึงถึงหลักการปลอดเชื้อ (Aseptic Technique) อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากจุลินทรีย์ในอากาศหรือบนผิวสัมผัสต่างๆ
ขั้นตอนสำคัญในการใช้งาน:
- การเตรียมอาหารเลี้ยงเชื้อ: ละลายอาหารเลี้ยงเชื้อตามคำแนะนำของผู้ผลิต จากนั้นนำไปฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันไอน้ำ (Autoclave) เพื่อกำจัดจุลินทรีย์ทั้งหมด
- การเทอาหารลง Petri Dish: ในบริเวณที่สะอาดและปลอดเชื้อ เช่น ในตู้ Biological Safety Cabinet (ตู้เขี่ยเชื้อ) เทอาหารเลี้ยงเชื้อที่อุ่น (ประมาณ 45-50°C) ลงใน Petri Dish อย่างระมัดระวัง ไม่ควรเปิดฝาค้างไว้นาน
- การทำให้แข็งตัว: ปล่อยให้อาหารเลี้ยงเชื้อแข็งตัวที่อุณหภูมิห้อง
- การเก็บรักษา: เมื่ออาหารแข็งตัวแล้ว ควรจัดเก็บในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 2-8°C โดยใส่ไว้ในถุงพลาสติกหรือห่อด้วยกระดาษฟอยล์เพื่อป้องกันการสูญเสียความชื้น
- การเพาะเชื้อ: ใช้เทคนิคที่เหมาะสม เช่น การ Streak Plate หรือ Spread Plate เพื่อนำตัวอย่างจุลินทรีย์มาเพาะบนผิวหน้าของอาหารเลี้ยงเชื้อ
- การบ่มเพาะ (Incubation): นำ Petri Dish ที่เพาะเชื้อแล้วไปบ่มในตู้บ่มเพาะ (Incubator) ที่อุณหภูมิและระยะเวลาที่เหมาะสมตามชนิดของจุลินทรีย์
- การกำจัด: หลังเสร็จสิ้นการทดลอง Petri Dish ที่มีเชื้ออยู่จะต้องถูกฆ่าเชื้อก่อนทิ้งเสมอ โดยใช้วิธี Autoclave เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
เลือกซื้อ Petri Dish อย่างไรให้ตอบโจทย์งานของคุณ?
การเลือกซื้อ Petri Dish ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของงานวิจัยและการทดลองของคุณ หากคุณกำลังมองหาอุปกรณ์สำหรับห้องปฏิบัติการ Lap Manage พร้อมให้คำปรึกษาและจัดหาผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากแบรนด์ชั้นนำ
- เลือกจากวัสดุ: หากงานของคุณเป็นงานทดลองจำนวนมากที่เน้นความรวดเร็วและปลอดเชื้อจากทุกครั้งที่ใช้ Petri Dish พลาสติก คือตัวเลือกที่เหมาะที่สุด แต่หากคุณเน้นความคุ้มค่าในระยะยาวและมีอุปกรณ์ฆ่าเชื้อที่พร้อม Petri Dish แก้ว อาจตอบโจทย์มากกว่า
- ขนาดที่เหมาะสม: เลือกขนาดของ Petri Dish (เช่น 60mm, 90mm, 150mm) ให้เหมาะสมกับปริมาณตัวอย่างและชนิดของการทดลอง
- ผู้จำหน่ายที่เชื่อถือได้: การเลือกซื้อจากผู้จำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถืออย่าง Lap Manage ช่วยให้มั่นใจได้ว่าคุณจะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ผ่านการฆ่าเชื้อมาอย่างดี และเป็นไปตามมาตรฐานสากล
- การบริการหลังการขาย: ผู้เชี่ยวชาญจาก Lap Manage สามารถให้คำแนะนำในการเลือกซื้อ รวมถึงการใช้งานผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้อง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Petri Dish
Q1: สามารถนำ Petri Dish ที่เป็นพลาสติกมาใช้ซ้ำได้ไหม?
A1: ไม่แนะนำอย่างยิ่ง Petri Dish พลาสติกถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานครั้งเดียว (Single-use) การนำมาใช้ซ้ำอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนและทำให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อน เนื่องจากพลาสติกไม่ทนทานต่ออุณหภูมิสูงที่ใช้ในการฆ่าเชื้อแบบ Autoclave
Q2: Petri Dish กับ Microplate แตกต่างกันอย่างไร?
A2: Petri Dish คือจานเพาะเชื้อเดี่ยวๆ ที่มีพื้นที่ผิวหน้ากว้าง เหมาะสำหรับงานเพาะเลี้ยงเชื้อ, การแยกเชื้อบริสุทธิ์ หรือการนับจำนวนโคโลนี ส่วน Microplate คือแผ่นพลาสติกที่มีหลุมเล็กๆ จำนวนมาก (เช่น 96 หลุม) เหมาะสำหรับงานที่มีปริมาณตัวอย่างมาก เช่น การตรวจวัดสารตัวอย่าง หรือการทดสอบในปริมาณมาก (High-throughput screening)
Q3: สารอาหารที่ใช้ใน Petri Dish คืออะไร?
A3: เรียกว่า อาหารเลี้ยงเชื้อ (Culture Media) มีหลายประเภท แต่ที่นิยมใช้มากที่สุดคือ Agar Plate ซึ่งเป็นอาหารเลี้ยงเชื้อที่มีวุ้น (Agar) เป็นส่วนประกอบ ทำให้มีลักษณะเป็นเจลแข็งที่จุลินทรีย์สามารถเจริญเติบโตบนผิวหน้าได้
Q4: ทำไมต้องคว่ำ Petri Dish ขณะบ่มเพาะ?
A4: การคว่ำ Petri Dish ขณะบ่มเพาะเป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำจากไอน้ำภายในจานตกลงไปบนผิวหน้าของอาหารเลี้ยงเชื้อ ซึ่งอาจทำให้โคโลนีจุลินทรีย์ละลายและไม่สามารถนับจำนวนหรือแยกเชื้อได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการปนเปื้อนจากภายนอกได้อีกด้วย
Q5: นอกจากงานเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์แล้ว Petri Dish ยังใช้ทำอะไรได้อีกบ้าง?
A5: นอกจากงานในห้องปฏิบัติการไมโครไบโอโลจีแล้ว Petri Dish ยังถูกนำไปใช้ในงานอื่นๆ เช่น การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช, การทดลองทางวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน, หรือแม้กระทั่งงานศิลปะ
จากที่กล่าวมาทั้งหมด Petri Dish ไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์พื้นฐานในห้องแล็บเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การวิจัยและการทดลองมีความถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย ไม่ว่าจะเลือกใช้ Petri Dish แก้ว ที่เน้นความคุ้มค่าในระยะยาว หรือ Petri Dish พลาสติก ที่สะดวกและลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมย่อมช่วยเพิ่มคุณภาพงานวิทยาศาสตร์ได้อย่างชัดเจน
การมีอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานสากลจะช่วยให้งานในห้องปฏิบัติการดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกขั้นตอน ดังนั้น การเลือกซื้อจากผู้จำหน่ายที่เชื่อถือได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับทั้งคุณภาพและการบริการที่ครบถ้วน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Petri Dish อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ติดต่อ
บริษัท แล็ป เมนแนจ จำกัด
94/369 ม.11 ต.บางบัวทอง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี 11110
Line : @lapmanage
Facebook: บจก.แล็ป แมนเนจ
โทรศัพท์ 065-9192828, 021-296-522
Email: online.lapmanage@gmail.com , Sale.lapmanage@gmail.com